วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

หน้าแรก




สถานศึกษา













วิทยาลัยอาชีวะศึกษาสิงห์บุรี

วิทยาลัยอาชีวะศึกษาสิงห์บุรี


ประวัติวิทยาลัย
วิทยาลัยอาชีวศึกษาสิงห์บุรี ปัจจุบันตั้งอยู่เลขที่ 643 ถนนนายจันหนวดเขี้ยว ตำบลบางพุทรา อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี เปิดทำการสอนครั้งแรก เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2481 โดยใช้ชื่อว่า " โรงเรียนช่างทอผ้าสิงห์บุรี" มีครู 1 คน นักเรียน 30 คน ณ สถานที่ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งสำนักงานเทศบาลเมืองสิงห์บุรีปี พ.ศ. 2482ได้ย้ายมาตั้งในที่ ซึ่งเป็นที่ตั้งในปัจจุบัน อันเป็นที่ดินของวัดโพธิ์แก้วนพคุณ ซึ่งมีที่ดินประมาณ 9 ไร่ 1 งานปี พ.ศ. 2485เปลี่ยนชื่อเป็น "โรงเรียนการช่างสตรีสิงห์บุรี" เปิดทำการสอนหลักสูตรการช่างสตรีในระดับอาชีวศึกษาตอนต้น อาชีวศึกษาตอนปลายและอาชีวศึกษาชั้นสูง จนถึง ปี พ.ศ. 2503 ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น(มศ.1 - มศ.3) สายอาชีพและระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (มศ.4 - มศ.6) สายอาชีพ และสายสามัญ(มศ.4 - มศ.5)ปี พ.ศ. 2516เปลี่ยนชื่อเป็น " โรงเรียนอาชีวศึกษาสิงห์บุรี " จนกระทั่งได้รับอนุมัติให้เป็น " วิทยาลัยอาชีวศึกษาสิงห์บุรี " เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2525 ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการลงวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2525 ปี พ.ศ. 2518ได้เปลี่ยนการสอนจากหลักสูตร 2503 เป็นหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย พ.ศ. 2518 และหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) สำหรับชั้น มศ.6 เดิม สาขาวิชาผ้าและเครื่องแต่งกายสาขาวิชาอาหารและโภชนาการ และสาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ทั่วไปปี พ.ศ. 2521ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการลงวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2521 ได้อนุมัติให้โรงเรียนเปิดแผนกวิชาพาณิชยกรรมขึ้นอีก 1 แผนก ทั้งภาคปกติและภาคนอกเวลาราชการ จำนวน 2 ห้องและ 1 ห้องตามลำดับ ตั้งแต่ปีการศึกษา 2522 เป็นต้นไป ปี พ.ศ. 2523กรมอาชีวศึกษา ได้อนุมัติให้โรงเรียน เปิดแผนกศิลปหัตถกรรมขึ้นอีก 1 แผนก ตั้งแต่ปีการศึกษา 2524 ตามหนังสือที่ สห 23/10635 ลงวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2523 ประกาศกระทรวงศึกษาธิการลงวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2524 และในปีเดียวกันนี้เอง กรมอาชีวศึกษาได้จัดสรรงบประมาณให้กรมสามัญศึกษา เป็นเงิน 65,000 บาท เพื่อรื้อถอนอาคารเรียน และสิ่งก่อสร้างประกอบ (โรงเรียนอนุบาลสิงห์บุรี) นำไปปลูกสร้างในที่แห่งใหม่โรงเรียนจึงได้ที่ดินเพิ่มขึ้น 2 ไร่ 39 วา จึงรวมเป็นที่ดินทั้งหมด 8 ไร่ 50 วา ตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2523

วิสัยทัศน์ (vision)    
          ผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาอย่างมีคุณภาพ ได้มาตรฐาน ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน  สังคม  ระดับประเทศและภูมิภาค
พันธกิจ (Mission)
    1) จัดและส่งเสริมการอาชีวศึกษาและฝึกอบรมวิชาชีพให้มีคุณภาพมาตรฐาน
   2) ขยายโอกาสทางการศึกษาวิชาชีพอย่างทั่วถึงและเสมอภาค
    3) สร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการจัดการอาชีวศึกษาและฝึกอบรมวิชาชีพ
   4) วิจัย สร้างนวัตกรรม พัฒนาองค์ความรู้เพื่อการพัฒนาอาชีพ

ปรัชญา
     รอบรู้ ซื่อสัตย์ ปฏิบัติได้จริง



วิทยาลัยอาชีวะศึกษาลำปาง

วิทยาลัยอาชีวะศึกษาลำปาง

ประวัติวิทยาลัย
พ.ศ. 2480  จังหวัดลำปางจัดตั้งขึ้น ใช้ชื่อว่า   "โรงเรียนช่างทอผ้า"  โดยใช้เงินงบประมาณประชาบาลเปิดทำการสอน ช่างทอผ้า เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2480พ.ศ. 2481  โอนเข้าสังกัดกรมอาชีวศึกษา  ได้รับงบประมาณซื้อที่ดินบริเวณห้าแยกประตูชัยเนื้อที่  8  ไร่  2 งาน  56 ตารางวาพ.ศ. 2482   เปลี่ยนชื่อเป็น "โรงเรียนช่างเย็บเสื้อและทอผ้า" เปิดสอนวิชาช่างเย็บเสื้อผ้า เพิ่มขึ้นอีกวิชาหนึ่ง พ.ศ. 2491   เปลี่ยนชื่อเป็น "โรงเรียนการช่างสตรีลำปาง"พ.ศ. 2501  ได้รับอนุมัติให้เปิดสอน "ระดับอาชีวะชั้นสูง" โดยรับนักเรียนที่สำเร็จชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 (ม.ศ.3) เข้าเรียนหลักสูตร 3 ปี เปิดสอนแผนกวิชาคหกรรมศาสตร์สาขา วิชาผ้าและเครื่องแต่งกาย สาขาวิชาอาหารและโภชนาการ สำเร็จการศึกษาระดับนี้แล้วได้รับประกาศนียบัตรประโยคอาชีวศึกษาชั้นสูงพ.ศ. 2508  ได้เข้าอยู่ในโครงการยูนิเซฟ เปิดสอนระดับอาชีวศึกษาชั้นสูง แผนกคหกรรมศาสตร์
พ.ศ. 2516  ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "โรงเรียนอาชีวศึกษาลำปาง"พ.ศ. 2519  ได้รวมกับโรงเรียนการช่างลำปาง  เป็นวิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง (วิทยาเขต 2) พ.ศ. 2530   ได้ร่วมกับเอกชน คือ บริษัทเอ็กเซลเอนเตอร์ไพร์ส จำกัด เปิดศูนย์คอมพิวเตอร์สอนนักเรียน  นักศึกษา และบุคคลภายนอกพ.ศ. 2535   เปิด ปวส. สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ และสาขาวิชาการตลาดพ.ศ. 2545   เข้าร่วมกับสถานศึกษาสังกัดกรมอาชีวศึกษาในจังหวัดเชียงราย จังหวัดพะเยาและจังหวัดลำปาง  รวมเป็นสถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 3

ผลงานรางวัลประจำปี 2556
 ระดับชาติ ของ วิทยาลัยฯ
รางวัลชนะเลิศ ระดับชาติ ห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีสารสนเทศประเภทวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและ
 และการสื่อสาร การประกวดการจัดสถานที่เรียนรู้เทคโนโลยีเฉพาะทาง อาชีวศึกษา 
ผลงานรางวัลประจำปี 2556
 ระดับภาค
 นักเรียน นักศึกษารางวัลชนะเลิศการประกวดบรรยายธรรม หัวข้อปฏิบัติพอเพียงได้ใจเป็นสุข ณ วัดพระธาตุแช่แห้ง
 จ.น่าน พ.ศ. 2556 

ปรัชญาวิทยาลัย
"คุณธรรมนำหน้า  พัฒนาวิชาชีพ"  




วิทยาลัยอาชีวศึกษามหาสารคาม

วิทยาลัยอาชีวศึกษามหาสารคาม


ประวัติวิทยาลัย
เมื่อปี พ.ศ. 2497 มีการก่อตั้งโรงเรียนเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ชื่อ "โรงเรียนประถมอาชีพช่างปั้น อำเภอเมือง มหาสารคาม" โดยความคิดของหลวงอังคณานุรักษ์ ข้าหลวงประจำจังหวัด รับนักเรียนที่จบประถมศึกษาปีที่ 4 เข้าเรียนหลักสูตร 2 ปี มีนายเที่ยง ภวภูตานนท์ เป็นครูใหญ่ ต่อมาได้เปิดแผนกช่างจักสานและแผนกช่างเย็บผ้าขึ้นมาอีก 2 แผนก เรียกว่า ประโยคอาชีวศึกษาเบื้องต้น กำหนดหลักสูตรเท่าเดิม พ.ศ. 2480 ได้ยกฐานะเป็นโรงเรียนรัฐบาล สังกัดกรมวิชาการ ต้นปี 2482 แผนกช่างจักสารและแผนกช่างปั้น ได้ย้ายออกไปรวมกับแผนกช่างไม้ (ซึ่งเป็นวิทยาลัยเทคนิคมหาสารคามในปัจจุบัน) เหลือเพียงแผนกช่างเย็บเสื้อผ้าแผนกเดียว และเปิดแผนกช่างทอผ้าขึ้นมาอีกแผนกหนึ่งใช้ชื่อว่า "โรงเรียนเย็บเสื้อผ้ามหาสารคาม" มีนายอุ่น ภวภูตานนท์ เป็นครูใหญ่
          ต่อมาในปี พ.ศ.2494 ได้ขยายหลักสูตรออกเป็น 3 ปี เรียกว่าประโยคชีวศึกษาชั้นกลางและได้ยุบแผนกทอผ้า เพราะไม่อยู่ในความนิยมของท้องถิ่น ระยะนี้มีนางมะลิ หนโชติ เป็นครูใหญ่ เปลี่ยนชื่อมาเป็นโรงเรียนการช่างสตรีมหาสารคามพ.ศ.2500 ได้เปิดสอนระดับอาชีวศึกษาชั้นสูง รับนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาปีที่ 6 เข้าเรียนหลักสูตร 3 ปี สำเร็จแล้วได้รับประกาศนียบัตรประโยคอาชีวศึกษาชั้นสูง โดยเปิดสอนแผนกผ้าและเครื่องแต่งกายและแผนกอาการและโภชนาการ อีก 7 ปีต่อมา โรงเรียนได้เข้าโครงการยูนิเซฟ เปิดสอนแผนกวิชาคหกรรมศาสตร์แผนกวิชาอาหารและโภชนาการและแผนกวิชาศิลปหัตถกรรม (ช่างเครื่องเคลือบดินเผา) ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนอาชีวศึกษามหาสารคาม”   เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2519 ได้รวมกับโรงเรียนการช่างมหาสารคาม ยกฐานะเป็นวิทยาลัย มีชื่อเรียกว่าวิทยาลัยอาชีวศึกษามหาสารคามวิทยาเขต 2 และได้แยกมาเป็นวิทยาลัยอาชีวศึกษามหาสารคาม เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2552 เป็นต้นมา 




เกียรติประวัติและผลงานดีเด่น
พ.ศ. 2551 - นักศึกษารับรางวัลพระราชทาน (นางสาวจิราธร ศรีสังข์)
พ.ศ. 2552 - ได้รับรางวัลโล่เกียรติคุณ คุณธรรมนำความรู้ นิทานพอเพียงระดับประเทศ ของสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา ได้รับได้รับเป็นสถานศึกษาต้นแบบ พอเพียงของกระทรวงศึกษาธิการ
 ได้รับรางวัลชนะเลิศ 1 ใน 5 การออกแบบชุดนักศึกษาระดับ ปวส. ชาย-หญิง ระดับชาติ ได้รับรางวัลชนะเลิศการเขียนภาพคนเหมือนระดับชาติ
พ.ศ. 2553 - ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ลูกอมมะรุม (ลูกอมเพื่อสุขภาพ) ระดับชาติ
พ.ศ. 2554 - ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ระดับชาติ (ผงแช่ล้างผักจากเปลือกไข่)
               - ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ระดับชาติ (การใช้แป้งกล้วยพัฒนาผลิตภัณฑ์กะหรี่ปั๊ป)ในการประกวดโครงงานอาชีวศึกษา-เอสโซ่ ครั้งที่ 20
               - ได้รับรางวัลเหรียญทอง (ที่เปิดฝาเกลียว) ในการประกวดสิ่งประดิษฐ์คนรุ่นใหม่ประเภทที่ 3 ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ระดับภาค ปี2554
ที่อยู่
579 ถ.นครสวรรค์ ต.ตลาด อ.เมือง จ.มหาสารคาม 44000
ระดับการศึกษาและสาขาวิชาที่เปิดสอน
 ระดับ ปวช. คหกรรมศาสตร์ ผ้าและเครื่องแต่งกาย พณิชยการ ศิลปกรรม เสริมสวย อาหารและโภชนาการระดับ ปวส. การโฆษณาและประชาสัมพันธ์ การเงินและการธนาคาร การจัดการผลิตภัณฑ์ การตลาด การบริหารงานคหกรรมศาสตร์ การบัญชี การโรงแรมและบริการ การเลขานุการ การออกแบบ คอมพิวเตอร์กราฟิก คอมพิวเตอร์ธุรกิจ เทคโนโลยีการถ่ายภาพและวิดีทัศน์ เทคโนโลยีผ้าและเครื่องแต่งกาย เทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม วิจิตรศิลป์ อาหารและโภชนาการ





วิทยาลัยอาชีวศึกษานครศรีธรรมราช

วิทยาลัยอาชีวศึกษานครศรีธรรมราช 

ประวัติวิทยาลัย
ปี พ.ศ. 2481    วิทยาลัยฯ มีชื่อว่า โรงเรียนช่างเย็บเสื้อผ้าเปิดทำการสอนครั้งแรก โดยใช้สถานที่ของโรงเรียนศิลปหัตถกรรม  หน้าวัดวังตะวันออก รับนักเรียนจบชั้นประถมปีที่ 4    เรียนหลักสูตร 2 ปี สำเร็จแล้วเทียบเท่าประโยคอาชีวศึกษาตอนต้น
ปี พ.ศ. 2482    ย้ายมาตั้งที่ถนนราชดำเนิน ใกล้เทศบาลนครนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นที่ตั้งในปัจจุบัน โดยใช้สถานที่ของวัดพระเงิน  ซึ่งเป็นวัดร้าง
ปี พ.ศ. 2491    เปิดสอนหลักสูตรการช่างสตรีและเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนการช่างสตรีนครศรีธรรมราช
ปี พ.ศ. 2516    ได้เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนอาชีวศึกษานครศรีธรรมราช
ปี พ.ศ. 2522    กระทรวงศึกษาธิการประกาศแยกวิทยาลัยเทคนิคนครศรีธรรมราช  ออกเป็นวิทยาลัยเอกเทศ  วิทยาลัยอาชีวศึกษานครศรีธรรมราช จึงเหลือ 2 วิทยาเขต คือ วิทยาเขต 1       วิทยาลัยอาชีวศึกษานครศรีธรรมราช  และวิทยาเขต 2 คือ วิทยาลัยศิลปหัตถกรรมนครศรีธรรมราช
ปี พ.ศ. 2523    กระทรวงศึกษาธิการประกาศแยกวิทยาลัยศิลปหัตถกรรมนครศรีธรรมราชออกเป็นวิทยาลัยเอกเทศ  วิทยาลัยอาชีวศึกษานครศรีธรรมราชจึงมีเพียงแห่งเดียว
ปี พ.ศ. 2526    กรมอาชีวศึกษาได้คัดเลือกให้เป็นสถานศึกษาดีเด่นของกรมอาชีวศึกษากระทรวงศึกษาธิการและเป็นสถานศึกษาเร่งรัดพัฒนาดีเด่นของกลุ่มคหกรรม       พาณิชยกรรม และศิลปหัตถกรรมภาคใต้ กรมอาชีวศึกษา
ปี พ.ศ. 2544    สำนักพัฒนาการศึกษา ศาสนา  และวัฒนธรรม  เขตการศึกษา 3 ได้คัดเลือกให้เป็นสถานศึกษารางวัลพระราชทาน ระดับอุดมศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี
ปี พ.ศ. 2547    ได้รับการประเมินจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) ครั้งที่ 1 ผลการประเมินยืนยันสภาพจริง
ปี พ.ศ. 2549    ได้รับการประเมินจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) ครั้งที่ 2 ผลการประเมินมีค่าเฉลี่ย 4.90 อยู่ในระดับดีมาก
ปี พ.ศ. 2551    วิทยาลัยอาชีวศึกษานครศรีธรรมราชได้รับรางวัลชนะเลิศองค์การวิชาชีพมาตรฐานดีเด่นระดับชาติ
ปี พ.ศ. 2552    กระทรวงศึกษาธิการประกาศให้เป็น สถานศึกษารางวัลพระราชทานระดับอาชีวศึกษา ประเภทสถานศึกษาขนาดใหญ่

ปรัชญาวิทยาลัย
"ทักษะนำ  คุณธรรมเด่น  เน้นคุณภาพ"
ขนาดและที่ตั้ง
 วิทยาลัยอาชีวศึกษานครศรีธรรมราช  ตั้งอยู่ที่  1076  ถนนราชดำเนิน  ตำบลคลัง  อำเภอเมือง  จังหวัดนครศรีธรรมราช  รหัสไปรษณีย์  80000  โทรศัพท์ (075) 356156  สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา  กระทรวงศึกษาธิการ  พื้นที่ซึ่งจัดการเรียนการสอนอยู่ในขณะนี้  ตั้งอยู่เลขที่ 1076 ตำบลคลัง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช  มีพื้นที่  5  ไร่  2 งาน  36  ตารางวา  ประกอบด้วยอาคารจำนวน  6  หลัง ได้แก่ อาคาร  3  ชั้น  จำนวน  2  หลัง  อาคาร  4  ชั้น  จำนวน  2  หลัง  อาคาร  5  ชั้น  จำนวน 1 หลัง  และอาคารอเนกประสงค์  จำนวน  1  หลัง
วิสัยทัศน์   
เราคือผู้นำในการจัดการอาชีวศึกษาที่มีคุณภาพ สู่ความเป็นเลิศแห่งโลกอาชีพ

We are the leader of vocational Education Management through society  and be the great in Vocational World

วิทยาลัยอาชีวะศึกษาธนบุรี

วิทยาลัยอาชีวะศึกษาธนบุรี


ประวัติวิทยาลัย
วิทยาลัยอาชีวศึกษาธนบุรีเริ่มเปิดสอนเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2481 เดิมชื่อโรงเรียนการช่างเย็บเสื้อผ้าวัดหงส์รัตนาราม ตั้งอยู่ที่วัดหงส์รัตนาราม อำเภอบางกอกใหญ่ จังหวัดธนบุรี เปิดสอนหลักสูตรตัดเย็บเสื้อผ้าระดับอาชีวศึกษาตอนต้น เรียน 2 ปี รับผู้สาเร็จชั้นประถมปีที่ 4 นางองุ่น หุราพันธ์ ดารงตาแหน่งครูใหญ่
ต่อมาในปี พ.ศ. 2497 ย้ายมาอยู่วัดอรุณราชวรารามเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนการช่างสตรีธนบุรีเปิดสอนหลักสูตรการช่างสตรีระดับอาชีวศึกษาตอนต้น รับผู้สาเร็จชั้นประถมปีที่ 4 และระดับอาชีวศึกษาตอนกลางรับผู้สำเร็จอาชีวศึกษาตอนต้นหรือมัธยมศึกษาตอนต้น นางนนทพิทยพิลาศ (เสงี่ยม โรจนสมิต) ดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ และในปีการศึกษา 2499 เปิดหลักสูตรการช่างสตรีระดับอาชีวศึกษาชั้นสูงเพิ่มขึ้น
ในปีการศึกษา 2500 เปลี่ยนเป็นหลักสูตรการช่างสตรีระดับมัธยมอาชีวศึกษาตอนต้น เรียน 2 ปี และระดับมัธยมอาชีวศึกษาตอนปลายเรียน 3 ปี มีการเปลี่ยนหลักสูตรมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งปีการศึกษา 2510 รับผู้สาเร็จชั้น ม.6 และ ม.ศ.3 เข้าเรียนสาขาวิชาผ้าและเครื่องแต่งกาย และสาขาวิชาอาหารและโภชนาการ
โรงเรียนการช่างสตรีธนบุรีได้ย้ายมาอยู่ปัจจุบันที่เลขที่ 182ซอยจรัญสนิทวงศ์ 13 บางกอกใหญ่ กทม.10600 เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2515 และเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนอาชีวศึกษาธนบุรี ในปีการศึกษา 2516 และเปลี่ยนชื่อเป็นวิทยาลัยอาชีวศึกษาธนบุรีเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2522







วิสัยทัศน์
"ภายในปี 2558 วิทยาลัยอาชีวศึกษาธนบุรีมุ่งมั่นจัดการศึกษาและบริการวิชาชีพสู่สังคม
โดยการบริหารจัดการด้วยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้คู่คุณธรรมและเป็นเลิศทางวิชาชีพ
ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อรองรับประชาคมอาเซียน"
Vision
"In 2015 Thonburi Vocational College dedicates to provide the quality education and vocational for society through IT system management to assure that our graduates are well equipped with high moral & knowledge and best caree practice. Following from the principle of Economy Sufficiency to Asian Economic Community (AEC)"

พันธกิจ
1. จัดการศึกษาเพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ทักษะและเจตคติในวิชาชีพ โดยการวิจัย นวัตกรรม และเทคโนโลยี
2. พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อการบริหารและการจัดการเรียนการสอน
3. ส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ นำสู่สมดุลอย่างมั่นคงและยั่งยืนใน 4 มิติ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
4. บริหารจัดการสถานศึกษาเพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วมกิจกรรมรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)







มหาวิทยาลัยศิลปากร

มหาวิทยาลัยศิลปากร


ประวัติมหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยศิลปากรเป็นสถาบันการศึกษา ระดับอุดมศึกษาของรัฐในสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย เดิมคือโรงเรียนประณีตศิลปกรรมสังกัดกรมศิลปากร เปิดสอนวิชาจิตรกรรมและประติมากรรมให้แก่ข้าราชการและนักเรียนในสมัยนั้นโดยไม่เก็บค่าเล่าเรียน ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี (เดิมชื่อ CorradoFeroci) ชาวอิตาเลียนซึ่งเดินทางมารับราชการในประเทศ ไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียน แห่งนี้ขึ้น และได้เจริญเติบโตเป็นลำดับเรื่อยมา จนกระทั่งได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น มหาวิทยาลัยศิลปากร
 เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ คณะจิตรกรรมและประติมากรรม ได้รับการจัดตั้งขึ้นเป็นคณะวิชาแรก (ปัจจุบันคือคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์) ในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ จัดตั้งคณะสถาปัตยกรรมไทย (ซึ่งต่อมาได้ปรับหลักสูตรและเปลี่ยน ชื่อเป็นคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์) และคณะโบราณคดี หลังจากนั้นได้จัดตั้งคณะมัณฑนศิลป์ ขึ้นในปีต่อมา ปี พ.ศ. ๒๕๐๙ มหาวิทยาลัยศิลปากร มีนโยบายที่จะเปิดคณะวิชาและสาขาวิชาที่ หลากหลายขึ้น  แต่เนื่องจากบริเวณพื้นที่ในวังท่าพระคับแคบมาก ไม่สามารถจะขยายพื้นที่ออกไปได้ จึงได้ขยายเขตการศึกษาไปยังพระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม โดยจัดตั้งคณะอักษรศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๑๑  คณะศึกษาศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๑๓ และคณะวิทยาศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๑๕ ตามลำดับ หลังจากนั้น จัดตั้งคณะเภสัชศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๒๙  คณะเทคโนโลยี อุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๓๕   และจัดตั้งคณะดุริยางคศาสตร์ขึ้น เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๒ เพื่อให้เป็น มหาวิทยาลัยที่มีความสมบูรณ์ ทางด้านศิลปะมากยิ่งขึ้นพ.ศ. ๒๕๔๐ มหาวิทยาลัยศิลปากรได้ขยายเขตการศึกษาไปจัดตั้ง วิทยาเขตแห่งใหม่ ที่จังหวัดเพชรบุรี เพื่อกระจายการศึกษาไปสู่ภูมิภาค ใช้ชื่อว่า "วิทยาเขตสารสนเทศเพชรบุรี" จัดตั้งคณะสัตวศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร ในปี พ.ศ. ๒๕๔๔ คณะวิทยาการจัดการ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ และวิทยาลัยนานาชาติ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๖


สัญลักษณ์
ตรามหาลัย คือ พระพิฆเณศวร ทั้งกระดุม เข็ม หัวเข็มขัด หัวติ้ง


สีประจำมหาลัย
 สีเขียวเวอร์ริเดียน เป็นสีของน้ำทะเลที่ลึกมากๆ


ต้นไม้ประจำ
 มหาวิทยาลัยศิลปากร (มศก.) ต้นจัน




มหาวิทยาลัยมหิดล

มหาวิทยาลัยมหิดล


มหาวิทยาลัยมหิดลมีประวัติอันยาวนานกว่า 120 ปีนับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งขึ้นจากโรงศิริราชพยาบาลเมื่อปี พ.ศ. 2431 และพัฒนามาจนกระทั่งปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัยมหิดลที่สมบูรณ์แบบมีความหลากหลายในศาสตร์แขนงต่างๆ และได้รับการจัดอันดับเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทย จากสถาบันจัดอันดับระดับโลกหลายสถาบัน อาทิ Time Higher Education (THE) World University Ranking และ Quacquarelli Symonds Asian University Ranking (QS APPLE) เป็นต้น
โลกยุคปัจจุบันเป็นสังคมของการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยเป็นศูนย์รวมของการแสวงหาความรู้ สร้างความรู้ เผยแพร่ ประยุกต์ และรักษาความรู้ จึงเป็นสถาบันที่สำคัญยิ่งในโลกยุคปัจจุบัน บทบาทของมหาวิทยาลัยมหิดลคือ การเป็นผู้นำของการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมแห่งความรู้ ทั้งภายในประเทศ ในภูมิภาค และในโลก มหาวิทยาลัยมหิดลจึงมีเป้าหมายสู่การเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลก (Global University) โดยไม่ลืมที่จะสร้างคุณค่าเพิ่ม (Value added) ให้แก่สังคมไทยด้วย
มหาวิทยาลัยมหิดลในฐานะที่เป็นปัญญาของแผ่นดิน จะยังคงมุ่งมั่นที่จะอยู่เคียงคู่กับสังคมไทย ด้วยการทำหน้าที่เป็นสถาบันการศึกษาที่จะประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้แก่เยาวชน ออกไปเป็นบัณฑิตที่มีความรู้ความสามารถ มีจิตอาสา มีจริยธรรมความรับผิดชอบต่อสังคม นอกจากนี้จะส่งเสริมงานวิจัยที่มุ่งแก้ปัญหาให้แก่ประเทศ อาทิ การบริหารจัดการน้ำ, การผลักดันให้ประเทศไทยเป็นครัวโลก, การแก้ปัญหาผู้สูงอายุ, ปัญหาที่เกิดจากความไม่เท่าเทียมกันในสังคม, ปัญหาโรคอุบัติใหม่ รวมทั้งจะพัฒนาด้านการเรียน การสอน การฝึกอบรมที่มุ่งสู่ความเป็นสากล สนับสนุนการแลกเปลี่ยนอาจารย์และนักศึกษา และความร่วมมือทางวิชาการกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ และผลักดันผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยให้ได้รับการเผยแพร่ในวารสารนานาชาติเพิ่มขึ้น
ด้วยความเชี่ยวชาญในศาสตร์หลากหลายสาขา กอปรด้วยนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิ และบุคลากรสายงานต่างๆที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์สูง มหาวิทยาลัยมหิดลจึงยังคงยึดมั่นที่จะเป็น ปัญญาของแผ่นดิน เพื่อเป็นที่พึ่งพิงทางปัญญาและชี้แนะแนวทางพร้อมจุดประกายความคิดไปสู่ทิศทางที่ถูกต้อง เพื่อสร้างคุณูปการให้แก่สังคม สมดังพระราชดำรัสของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกที่มหาวิทยาลัยยึดถือเป็นหลักปรัชญาว่า ความสำเร็จที่แท้จริงอยู่ที่การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ เพื่อประโยชน์สุขแก่มวลมนุษยชาติ
ตรามหาวิทยาลัย 
 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2512
สีน้ำเงินแก่  
สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ (พระยศในขณะนั้น) พระราชทานเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 251

ต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย
กันภัยมหิดล: พรรณไม้สัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยมหิดล
ในที่สุด "กันภัยมหิดล" ก็ได้รับเลือกให้เป็นต้นไม้สัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยมหิดล ผู้เขียนในนาม คณาจารย์ภาควิชาพฤกษศาสตร ์ คณะวิทยาศาสตร ์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งได้รับรางวัลจากการประกวดในครั้งนี้ร่วมกับ รศ.วงศ์สถิตย์ฉั่วกุล ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ กับ ผศ.นพมาศ สุนทรเจริญนนท์ ภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงขอเรียบเรียงเรื่องราวการประกวดต้นไม้ สัญลักษณ์ครั้งนี้ เพื่อบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยฯ


รางวัลแห่งความภาคภูมิใจ
รางวัลนักชีวเคมีและชีววิทยาโมเลกุลรุ่นใหม่ ประจำปี 2552 ของสาขาชีวเคมีึ และชีววิทยาโมเลกุล สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์
ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ พระราชทานเหรียญ ดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา สาขาวิทยาศาสตร์ ประจำปี พ.ศ. 2548
รางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้น สภาวิจัยแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2542
รางวัลวิจัย L.W. Frohlichจาก The New York Academy of Science, U.S.A.
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับรางวัลวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประเภทสถาบันของ   
มูลนิธิโทเรเพื่อการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2537








มหาวิทยาลัยนเรศวร

มหาวิทยาลัยนเรศวร


มหาวิทยาลัยนเรศวรมีประวัติการก่อตั้งและพัฒนาโดยแบ่งได้เป็น 3 ยุคสมัย คือ ยุคที่ 1 วิทยาลัยวิชาการศึกษาพิษณุโลก ยุคที่ 2 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตพิษณุโลก และยุคปัจจุบัน คือ มหาวิทยาลัยนเรศวร
ในปี พ.ศ. 2497 รัฐบาลในสมัยนั้นได้ตราพระราชบัญญัติวิทยาลัยวิชาการศึกษา (College of Education) ขึ้น เพื่อมุ่งหวังให้เป็นสถาบันหลักในการผลิตครูของประเทศ ซึ่งการจัดตั้งวิทยาลัยวิชาการศึกษานั้นเริ่มขึ้นที่กรุงเทพมหานครเป็นแห่งแรกที่ซอยประสานมิตร ต่อมาจึงจัดตั้งเพิ่มเติมในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยวิทยาลัยวิชาการศึกษาพิษณุโลกสถาปนาขึ้นเมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2510 มีที่ตั้ง ณ เลขที่ 1 ถนนสนามบิน ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก
ต่อมา เมื่อวิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตรได้ยกฐานะขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2517 แล้ว วิทยาลัยวิชาการศึกษาพิษณุโลกจึงได้ยกฐานะขึ้นเป็นวิทยาเขตหนึ่งของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โดยมีวิทยาเขตประสานมิตรเป็นศูนย์กลางการบริหารของมหาวิทยาลัยเช่นเดียวกับวิทยาลัยวิชาการการศึกษาอื่นๆ อีก 8 แห่ง การจัดการเรียนการสอนในสมัยนั้นเปิดสอนเพียง 5 คณะ คือ คณะศึกษาศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ และบัณฑิตวิทยาลัย[8] โดยสถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตพิษณุโลกยังคงใช้สถานที่เดิมของวิทยาลัยวิชาการศึกษาพิษณุโลก

ประวัติมหาวิทยาลัย
จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2520 - พ.ศ. 2524) ที่กำหนดให้จังหวัดพิษณุโลก เป็นเมืองศูนย์กลางและเมืองหลักของภาคเหนือตอนล่าง ทางวิทยาเขตจึงขออนุญาตกระทรวงมหาดไทย ในการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา และรองรับการขยายตัวของมหาวิทยาลัย ซึ่งได้รับอนุญาตในปี พ.ศ. 2527 โดยเป็นช่วงเดียวกับที่ทางทบวงมหาวิทยาลัยในขณะนั้นประกาศโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยแห่งใหม่ของรัฐในส่วนภูมิภาคอีก 5 แห่ง โดยที่ดินที่ได้รับการจัดสรรใหม่นี้อยู่บริเวณทุ่งหนองอ้อ ปากคลองจิก ตำบลท่าโพธิ์ อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยในปัจจุบัน
ช่วงปี พ.ศ. 2527 - 2531 ทางวิทยาเขตได้เตรียมแผนสำหรับการยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยเอกเทศ และในวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2533 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 400 ปี ของการเสด็จขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช รัฐบาลในสมัยของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ มีมติให้ยกฐานะวิทยาเขตพิษณุโลก ของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยเอกเทศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามมหาวิทยาลัยใหม่แห่งนี้ว่า "มหาวิทยาลัยนเรศวร" ดังนั้น ทางมหาวิทยาลัยจึงกำหนดให้วันที่ 29 กรกฎาคม ของทุกปีเป็นวันคล้ายวันสถาปนามหาวิทยาลัย[8]
ภายหลังจากการยกฐานะของมหาวิทยาลัยนเรศวรแล้ว ทางมหาวิทยาลัยได้มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วทั้งอาคาร สถานที่และบุคลากร โดยมุ่งหวังที่จะเป็นมหาวิทยาลัยที่สมบูรณ์แบบ (Comprehensive University)[9] จึงมีการจัดตั้งคณะ วิทยาลัยต่างๆ ให้ครอบคลุมทุกสาขาวิชา และจัดตั้งหน่วยงานต่างๆ เพื่อสนับสนุนและเพิ่มศักยภาพในด้านการเรียนการสอน และการทำวิจัย ต่อมาในปี พ.ศ. 2538 ทางมหาวิทยาลัยมีมติจัดตั้งวิทยาเขตที่จังหวัดพะเยา[10] โดยปัจจุบันได้ยกฐานะขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยพะเยา[11] และในปี พ.ศ. 2548 ได้จัดตั้งโรงเรียนมัธยมสาธิตมหาวิทยาลัยนเรศวร[12] เพื่อเป็นโรงเรียนตัวอย่างในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และภาษาต่างประเทศในระดับมัธยมให้กับนักเรียนในเขตภาคเหนือตอนล่าง



ตราสัญลักษณ์
รูปช้างศึก อยู่ภายในโล่กลมแบบโบราณตอนล่างรูปช้างศึก มีอักษรชื่อมหาวิทยาลัยนเรศวรอยู่ภายในป้ายชายธง


สีประจำมหาวิทยาลัย
 สีเทา-แสด
สีเทา หมายถึง สีของสมอง แปลว่า ความคิดหรือปัญญา
 สีแสด หมายถึง สีของคุณธรรมและความกล้าหาญ โดย สีแสด ประกอบด้วย


มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่ทางราชการจัดตั้งขึ้นในส่วนภูมิภาคของประเทศไทย ตามโครงการพัฒนาการศึกษาในส่วนภูมิภาค พ.ศ.2501 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ตั้งอยู่ ณ ดินแดนล้านนา อันเป็นแหล่งสะสมวัฒนธรรมอันล้ำค่ามานานกว่า 700 ปี มีสภาพภูมิประเทศงดงามท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันเป็นธรรมชาติ บริเวณเชิงดอยสุเทพ ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
             นับตั้งแต่มีการเรียกร้องให้ขยายการศึกษาระดับอุดมศึกษาออกสู่ภูมิภาค โดยขอให้รัฐบาลจัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ตั้งแต่ปี พ.ศ.2493 ในที่สุดการเรียกร้องก็สัมฤทธิ์ผลก่อให้เกิดความภูมิใจและดีใจเป็นอย่างยิ่งแก่ชาวล้านนา
             วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2503 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้จัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ขึ้น โดยกำหนดให้เปิดสอนในปีการศึกษา 2507 และให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยมี ม.ล.ปิ่น มาลากุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ดำเนินการเตรียมการจัดตั้ง
             วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2507 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ. 2507 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 81 ตอนที่ 7 ลงวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2507 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
             วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2507 วันเปิดเรียนวันแรกของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
             วันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2508 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่อย่างเป็นทางการ
             วันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2551 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ปรับเปลี่ยนสถานภาพเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ

สัญลักษณ์
ป็นรูปช้างชูคบเพลิง และมีสุภาษิตเป็นภาษาบาลีว่า "อตตานํทมยนติ ปณฑิตา"   อยู่ในวงล้อมรอบรูปช้าง ช้างมีท่าทางเหมือนธรรมชาติ งวงจับคบเพลิงชูขึ้นเหนือหัว เปรียบเสมือนแสงสว่างส่องทางให้นักศึกษาที่จะไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองต่อไป


สีประจำมหาวิทยาลัย
      สีม่วงดอกรัก


วิสัยทัศน์
          มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำที่มุ่งเน้นการวิจัย มีการผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพ มีความเป็นเลิศทางวิชาการ มีระบบการบริหารจัดการที่ดี และจัดหาทรัพยากรเพื่อการพัฒนาและ